เมนู

พ. ดูก่อนราหุล อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อม
เบื่อหน่ายทั้งในจักษุ ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส
ทั้งในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส
เป็นปัจจัย ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโน-
วิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส ทั้งในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เกิดขึ้นเพราะ มโนสัมผัส เป็นปัจจัย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณ
หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสพระสูตรนี้จบลงแล้ว ท่านพระราหุลชื่นชมยินดีพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า อนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิต
นี้อยู่ จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน
ฝ่ายเทวดาหลายพันก็เกิดธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไป
เป็นธรรมดา.
จบ ราหุลสูตรที่ 8

อรรถกถาราหุลสูตรที่ 8


ในราหุลสูตรที่ 8 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ .
บทว่า วิมุตฺติปริปาจนียา ความว่า ชื่อว่า วิมุตฺติปริปาจริยา
เพราะอรรถว่า บ่มวิมุตติ บทว่า ธมฺมา ได้แก่ธรรม 15 ธรรมเหล่านั้น

พึงทราบโดยกระทำสัทธินทรีย์เป็นต้นให้หมดจด สมจริงดังคำที่ท่านกล่าว
ไว้ว่า เมื่อบุคคลเว้นบุคคลผู้ไม่มีศรัทธา เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคล
ผู้มีศรัทธา พิจารณาสัมปสาทนียสูตรทั้งหลาย สัทธินทรีย์ย่อมหมดจด
ด้วยอาการ 3 เหล่านี้. เมื่อเว้นบุคคลผู้เกียจคร้าน เสพ คบ เข้าไป
นั่งใกล้บุคคลผู้ปรารภความเพียร พิจารณาสัมมัปปธานสูตร วิริยินทรีย์
ย่อมหมดจด ด้วยอาการ 3 เหล่านี้ เมื่อเว้นบุคคลผู้มีสติหลงลืม เสพ คบ
เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีสติตั้งมั่น พิจารณาสติปัฏฐานสูตร สตินทรีย์
ย่อมหมดจด ด้วยอาการ 3 เหล่านี้ . เมื่อเว้นบุคคลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น เสพ คบ
เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น พิจารณาฌานและวิโมกข์ สมาธินทรีย์
ย่อมหมดจด ด้วยอาการ 3 เหล่านี้ . เมื่อเว้นบุคคลผู้ทรามปัญญา เสพ คบ
เข้าไปนั่งใกล้บุคคลผู้มีปัญญา พิจารณาญาณจริยาการบำเพ็ญญาณอันลึกซึ้ง
ปัญญินทรีย์ย่อมหมดจดด้วยอาการ 3 เหล่านี้. ดังนั้น เมื่อบุคคลเว้นบุคคล
5 จำพวก เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้บุคคล 5 จำพวก พิจารณากองแห่ง
สุตตันตะ ปัญจินทรีย์เหล่านี้ ย่อมหมดจด ด้วยอาการ 15 เหล่านี้แล.
ธรรม 15 อีกหมวดหนึ่ง ซึ่งได้ชื่อว่าวิมุตติปริปาจริยา ธรรมบ่ม-
วิมุตติ คือ อินทรีย์ 5 สัญญาอันเป็นส่วนแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้ 5 คือ
อนิจจสัญญา 1 อนิจเจทุกขสัญญา สัญญาในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์ 1
ทุกเขอนัตตสัญญา สัญญาในทุกข์ว่าเป็นอนัตตา 1 ปหานสัญญา 1
วิราคสัญญา 1 และธรรม 5 มีกัลยาณมิตตตาที่ตรัสแก่พระเมฆิยเถระ.
ถามว่า ก็ในเวลาไร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริดังนี้.
แก้ว่า ในเวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงตรวจดูสัตว์โลก.

บทว่า อเนกานิ เทวตาสหสฺสานิ ความว่า ก็ในบรรดาเทวดา
ผู้ตั้งความปรารถนากับท่านพระราหุลผู้ตั้งความปรารถนา ในรัชกาลแห่ง
พระเจ้าปาลิตนาคราช แทบบาทมูลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าปทุ-
มุตตระ บางพวกเกิดเป็นภุมมัฏฐกเทวดา บางพวกเกิดเป็นอันตลิกขัฏฐ-
เทวดา บางพวกเกิดเป็นจาตุมหาราชกเทวดา บางพวกเกิดในเทวโลก
บางพวกเกิดในพรหมโลก. ก็ในวันนี้ เทวดาทั้งหมด ประชุมกันในอัน-
ธวันนั้นเอง ในที่แห่งหนึ่ง.
บทว่า ธมฺมจกฺขุํ ความว่า ในพระสูตรนี้ มรรค 4 ผล 4 พึง
ทราบว่า ธรรมจักขุ. จริงอยู่ในพระสูตรนั้น เทวดาบางพวก ได้เป็น
พระโสดาบัน บางพวก เป็นพระสกทาคามี บางพวก พระอนาคามี
บางพวก พระขีณาสพ อนึ่ง เทวดาเหล่านั้น นับไม่ได้ว่า มีประมาณ
เท่านี้. คำที่เหลือในบททั้งปวง ง่ายทั้งนั้น.
จบ อรรถกถาราหุลสูตรที่ 8

9. สังโยชนสูตร


ว่าด้วยธรรมเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์


[189] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจัก
แสดงธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์และสังโยชน์ เธอทั้งหลายจงฟังธรรม
นั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์ และสังโยชน์
เป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งสังโยชน์และสังโยชน์
นั้น คือรูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก